นับแต่ที่ประเทศไทยมีการตรากฎหมายบัตรประจําตัวประชาชนขึ้นใช้บังคับ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อใช้ในการเป็นหลักฐานแสดงตนของบุคคลผู้ปรากฏชื่อในบัตรประจําตัวประชาชน และเพื่อความสะดวกต่อการพิสูจน์ยืนยันตัวตน ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๖ โดยปัจจุบันบรรดาภาคเอกชนและหน่วยงานภาครัฐได้กําหนดเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับการทําธุรกรรมหรือนิติกรรม ตลอดจนการยื่นคําขอจะต้องมีการจัดทําสําเนาบัตรประจําตัวประชาชนแนบมาพร้อมกับเอกสารเหล่านั้นอยู่เสมอ แต่เนื่องจากบรรดาข้อมูลที่ปรากฏในบัตรประจําตัวประชาชนดังกล่าวนั้น ล้วนแต่เป็นข้อมูลสําคัญและถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่สามารถใช้ในการดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ ได้ เช่น ข้อมูลการเสียภาษี ข้อมูลแหล่งรายได้ การใช้ยืนยันสิทธิเพื่อขอรับสวัสดิการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล กรณีดังกล่าวก่อให้เกิดความเสี่ยงให้แก่ประชาชนในการที่ข้อมูลตามบัตรประจําตัวประชาชนดังกล่าว เกิดการรั่วไหลหรือมีการนําไปใช้ผิดวัตถุประสงค์อันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน นอกจากนี้ ในปัจจุบัน ภาครัฐและภาคเอกชนได้มีการพัฒนารูปแบบการจัดเก็บข้อมูลและการตรวจสอบยืนยันตัวบุคคลด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ในหลายรูปแบบ และมีการตรากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จึงจําเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
สาระสำคัญ
โดยที่พระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๕ ทวิ กำหนดว่าผู้ใดเอาไปเสียหรือยึดไว้ซึ่งบัตรหรือใบรับหรือใบแทนใบรับของผู้อื่น เพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ จึงเห็นสมควรแก้ไขเพิ่มเติมเป็นมาตรา ๑๕/๑ กำหนดว่าผู้ใดเอาไปหรือยึดไว้หรือมีไว้ซึ่งต้นฉบับหรือสําเนาบัตรหรือใบรับหรือใบแทน ใบรับของผู้อื่น หรือจัดให้ผู้อื่นส่งมอบต้นฉบับหรือสําเนาบัตรหรือใบรับหรือใบแทนใบรับของตน เพื่อประโยชน์สําหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบหรือปราศจากเหตุอ้างตามกฎหมายเพื่อไม่ให้มีการส่งมอบต้นฉบับบัตรประจําตัวประชาชนหรือดําเนินการคัดถ่ายและส่งมอบสําเนาบัตรประจําตัวประชาชน เพื่อประกอบการกระทํานิติกรรมหรือธุรกรรม รวมทั้งการห้ามมิให้ผู้ใดยึดไว้หรือมีไว้หรือครอบครองไว้ซึ่งต้นฉบับ หรือสําเนาบัตรประจําตัวประชาชนของผู้อื่นไว้ เนื่องจากในปัจจุบันข้อมูลตามบัตรประจําตัวประชาชน มีความสําคัญและนํามาใช้ในการทําธุรกรรมทางการเงิน ข้อมูลทางด้านภาษี และนิติกรรมสัญญาต่าง ๆ ทั้งในภาครัฐและเอกชนอย่างแพร่หลาย จึงมีความเสี่ยงหากมีการนําสําเนาบัตรประจําตัวประชาชนหรือข้อมูลตามบัตรประจําตัวประชาชนของผู้อื่นไปใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์ ทําให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน กรณีจึงมีความจําเป็นที่จะต้องแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเพื่อกําหนดมาตรการทางกฎหมายในเรื่องดังกล่าวให้มีความชัดเจนครอบคลุมและสอดคล้องกับเหตุการณ์ในปัจจุบันมากยิ่งขึ้น อันเป็นการคุ้มครองปกป้องสิทธิของประชาชนและเพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล
เห็นด้วยหรือไม่ ที่ไม่ให้ผู้ใดเอาไปหรือยึดไว้หรือมีไว้ซึ่งต้นฉบับหรือสําเนาบัตรหรือใบรับหรือใบแทน ใบรับของผู้อื่น หรือจัดให้ผู้อื่นส่งมอบต้นฉบับหรือสําเนาบัตรหรือใบรับหรือใบแทนใบรับของตน เพื่อประโยชน์สําหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบหรือปราศจากเหตุอ้างตามกฎหมาย