รองประธานคณะ กมธ. การพาณิชย์ฯ คนที่สาม มีข้อเสนอไปยังรัฐบาล 3 ข้อ เพื่อลดผลกระทบจากนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
20 กุมภาพันธ์ 2568
วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 14.30 นาฬิกา ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา นายจุลพงศ์ อยู่เกษ รองประธานคณะ กมธ. การพาณิชย์และทรัพย์สินทางปัญญา คนที่สาม แถลงข่าว ต่อสื่อมวลชนว่า เมื่อวานนี้ (19 ก.พ. 68) คณะ กมธ. ได้มีการพิจารณาศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายและมาตรการเพื่อรองรับนโยบายด้านการค้าของสหรัฐอเมริกาที่มีมาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งนโนยายดังกล่าวนั้น ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการส่งออกสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมของไทยอย่างหนัก จากการที่รัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 25 โดยจะมีผลในวันที่ 12 มี.ค. ที่จะถึงนี้ ทำให้สินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากประเทศไทยที่อยู่ในระหว่างทางขนส่งไปยังสหรัฐฯ จะต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตราใหม่ การประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมของรัฐบาลสหรัฐฯ ในครั้งนี้สถานทูตหลายประเทศ เช่นญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ได้ยื่นหนังสือขอผ่อนผันการขึ้นภาษีไปยังรัฐบาลสหรัฐฯ และรัฐบาลสหรัฐฯ ก็เชิญตัวแทนของสองประเทศนั้นไปชี้แจงประกอบการพิจารณาผ่อนผัน แต่ไม่ปรากฏหรือมีข่าวว่าสถานเอกอัครราชทูตไทยยื่นหนังสือขอผ่อนผัน นอกจากนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ มีนโยบายจะประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าประเภทรถยนต์ ยา และอีกหลายรายการ โดยให้มีผลในต้นเตือนเมษายนนี้ แต่ไม่เห็นมีข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ว่ามีมาตรการเตรียมการอย่างไรบ้าง ตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์ชนะการเลือกตั้งจนถึงขณะนี้ รัฐบาลไทยยังไม่มีการเตรียมการอะไรเลย นอกจากการจัดตั้งคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐเมื่อเดือนมกราคม 2568 แต่จนถึงขณะนี้ประชาชนไม่เคยรับทราบว่าคณะทำงานชุดนี้ได้เตรียมการทางยุทธศาสตร์อะไรบ้าง และดูเหมือนว่ารัฐบาลไม่ได้เตรียมการอะไรอื่นเลยนอกจากตั้งคณะทำงาน ทั้งที่รัฐบาลสามารถทำงานเชิงรุกได้มากกว่านี้ และการเดินทางไปเยือนสหรัฐฯ ของรมว.พาณิชย์เมื่อเร็ว ๆ นี้ ตนคิดว่าจะไปทำงานเชิงรุกเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อช่วยเหลือสินค้า แต่กลายเป็นว่าเป็นการเยือนเพื่อรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจเท่านั้นซึ่งเป็นเรื่องน่าผิดหวัง จากนโยบายด้านการค้าของสหรัฐอเมริกาที่มีมาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้น สร้างผลกระทบทางลบต่อรายได้การนำเข้าของประเทศไทยอย่างใหญ่หลวง เพราะสหรัฐฯ เป็นตลาดสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการส่งออกสินค้าของไทย วันนี้ตนจึงมีข้อเสนอ 3 ข้อ เพื่อให้รัฐบาลพิจารณาอย่างเร่งด่วน
ข้อเสนอแรก คือ รัฐบาลต้องกระตือรือร้น และมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงพาณิชย์จะต้องเร่งกำหนดมาตรการเชิงรุกและวางยุทธศาสตร์ในการเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ โดยเร่งด่วนและต้องประสานงานกับกระพรวงการต่างประเทศในการทำงานของสถานทูตไทยในสหรัฐฯ ให้มากกว่านี้
ข้อเสนอที่สอง คือ เนื่องจากประธานาธิบดีทรัมป์และทีมงานด้านการค้ามีภูมิหลังมาจากนักธุรกิจจากภาคเอกชน ดังนั้น ในการเจรจากับสหรัฐฯ ตนขอเสนอให้รัฐบาลไทยตั้งคณะทำงานการเจรจากับสหรัฐฯ ขึ้นมาอีกคณะหนึ่งโดยให้มีคนจากภาคเอกชนไม่ว่าจะเป็นตัวแทนจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และหอการค้าไทยเข้าเป็นทีมงานด้วย อย่าให้มีแต่ข้าราชการประจำเท่านั้น เพราะทีมเจรจาของไทยจะต้องเตรียมหัวข้อการเจรจาที่ตรงประเด็นและกระชับ มีเตรียมข้อมูลการค้าสินค้าและด้านบริการให้พร้อมเพื่อการเจรจา ส่วนคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐฯ ที่รัฐบาลแต่งตั้งไปแล้วเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ก็ให้เป็นผู้กำหนดนโยบายการเจรจาและสนับสนุนข้อมูลให้กับทีบทีมเจรจา
ข้อเสนอที่สาม คือ สื่อสารไปยังประชาชนทุกภาคส่วนรวมทั้งภาคการผลิตและการส่งออกให้ได้รับรู้ว่ารัฐบาลจะเอายังไง และจะมีมาตรการเช่นใด เพราะตอนนี้ประชาชน ไม่รู้จะไรเลย