ผู้นำฝ่ายค้านฯ พร้อมด้วย สส.พรรคประชาชน แถลงข่าว แนะนายกฯ หากแก้ไขปัญหาพรรคร่วมที่มีความเห็นต่างไม่ได้ ขอให้ยุบสภาแล้วคืนอำนาจให้ประชาชน
14 กุมภาพันธ์ 2568
วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 11.15 นาฬิกา ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย สส.พรรคประชาชน แถลงข่าวภายหลังการประชุมร่วมกันของรัฐสภาปิดลงว่า รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากวาระการประชุมเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันนี้ เป็นด่านสุดท้ายที่คิดว่าถ้าสามารถเดินหน้าแก้ไขได้ มีโอกาสที่จะได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทันต่อการเลือกตั้งปี 2570 อย่างไรก็ตาม พรรคประชาชนเชื่อว่าการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้มีกระบวนการที่สามารถเดินทางอย่างตรงไปตรงมาได้ ไม่จำเป็นต้องเดินอ้อม และไม่เชื่อว่าการเดินอ้อมแบบที่เป็นอยู่ จะสามารถนำไปสู่จุดปลายทางได้ สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการพักการประชุมวิปทั้ง 2 ฝ่ายที่หารือร่วมกัน ถ้าสมาชิกฯ จากฝั่งรัฐบาลมีข้อกังวลเกี่ยวข้องกับข้อกฎหมาย ก็ยังเปิดโอกาสให้มีการหารือเปิดอภิปราย เพื่อให้สังคมให้สมาชิกฯ มีความเข้าใจมากขึ้น แต่ผลปรากฏว่าหลังจากการประชุมวิปร่วมกันออกมา พบว่า ฝั่งรัฐบาลยังเดินหน้าที่จะให้มีการนับองค์ประชุมต่อ จนนำมาสู่การที่สภาล่ม แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าจะพยายามเดินอ้อมอย่างไร ก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาได้ สิ่งที่พรรคประชาชนเชื่อว่าเป็นทางออก คือการเดินหน้าตรง เพื่อแก้ไขปัญหาที่ประเทศไทยในปัจจุบันยังขาดอยู่ 3 เรื่องได้แก่
1. การขาดเจตนารมณ์ โดยถ้าก่อนหน้านี้ทางพรรคเพื่อไทยได้มีการพูดคุยหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลอย่างจริงจัง ร่างรัฐธรรมนูญที่ถูกเสนอเข้ามาควรจะต้องถูกเสนอเข้ามาเป็นร่างของคณะรัฐมนตรี แต่กลับเป็นร่างของพรรคเพื่อไทยเพียงร่างเดียว จนทำให้การประชุมทั้ง 2 วันที่ผ่านมานี้ ไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง ตลอดจนเมื่อคืนที่ผ่านมานายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย มีการให้สัมภาษณ์ออกผ่านสื่อมวลชนว่าที่ผ่านมานายกรัฐมนตรี แทบจะไม่เคยเข้าไปหารือเรื่องนี้กับพรรคภูมิใจไทย ในการที่จะพยายามผลักดันร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้เป็นร่างของพรรคร่วมรัฐบาล แสดงให้เห็นถึงการขาดเจตจำนงทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยที่เป็นพรรคแกนนำรัฐบาลในปัจจุบันว่าไม่ได้มีความจริงใจในการที่จะผลักดันเรื่องนี้อย่างเต็มที่
2. การขาดเรื่องของความเป็นนิติรัฐ จากการที่สมาชิกรัฐสภาหลายส่วน ออกมาให้ความเห็นว่ามีข้อกังวลว่าจะมีการไปยื่นร้องที่หลังมีผลพัวพันทางกฎหมายภายหลัง ซึ่งช่วงพักการประชุม แม้แต่การที่จะขอให้มีการหารือ โดยยังไม่มีการเข้าญัตติ ก็ยังไม่เปิดโอกาสให้หารือ มีแต่ความกลัวกังวลในข้อกฎหมาย ทั้งที่เวทีในการประชุมรัฐสภา เป็นเวทีที่ปลอดภัยที่สุด อยากชี้ให้สังคมเห็นว่า ปัจจุบันประเทศไทย ขาดความเป็นนิติรัฐ ไม่ได้ถูก ปกครองภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด แต่กำลังอยู่ภายใต้การปกครองของศาลรัฐธรรมนูญ กลายเป็นว่าคำวินิจฉัยของศาลฯ ใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ สมาชิกรัฐสภาแทนที่จะยึดถือกฎหมายรัฐธรรมนูญและตีความเอง กล้าใช้อำนาจของตัวเองเป็นหลัก กลับไม่ได้เป็นแบบนั้น สุดท้ายการทำอะไร เพื่อผลประโยชน์ของประชาชน ต้องถามกลับไปถามศาลรัฐธรรมนูญก่อน ชี้ให้เห็นว่าระบบนิติรัฐของประเทศไทยในปัจจุบันมีปัญหา ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเร่งเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และ
3. การไม่เคารพเสียงประชาชน
ซึ่งนโยบายในการหาเสียงของทุกพรรค มีข้อเสนอเร่งเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตลอดจน เป็นนโยบายของพรรคร่วมรัฐบาลที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาเช่นเดียวกัน ดังนั้น นายกรัฐมนตรี ในฐานะที่เป็นผู้นำรัฐบาล ต้องมีความจริงจังที่จะเดินหน้าเรื่องนี้ โดยเข้าไปเจรจาพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลแล้วแสดงเจตจำนงอย่างชัดเจน ยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยเคารพเสียงของประชาชน ถ้าไม่สามารถที่จะเดินหน้าผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นนโยบายที่ทุกพรรคร่วมรัฐบาลได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาได้ นายกรัฐมนตรีมีอำนาจในการยุบสภาเพื่อคืนเสียงให้กับประชาชนได้
ด้านนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.พรรคประชาชน ยืนยันว่า พรรคประชาชนต้องการผลักดันจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดย สสร.ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน 100 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้มีระบบการเมืองที่ดีขึ้น และทำให้สภาผู้แทนราษฎร สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดได้อย่างรวดเร็วขึ้น สำหรับแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สำเร็จนั้น มีบทบัญญัติชัดเจนว่าจะต้องได้รับเสียงสนับสนุนเพียงพอ ทั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และ 1 ใน 3 ของสมาชิกวุฒิสภา จะเห็นได้ว่าพรรคเพื่อไทยกังวลใจว่าหากเดินหน้าพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันนี้ การลงมติอาจจะไม่ได้รับเสียงสนับสนุนเพียงพอ โดยเฉพาะจากพรรคภูมิใจไทยและเสียง สว. ที่มีข้อกังวลทางกฎหมาย จึงเชิญชวนสังคมและประชาชนตั้งคำถามว่า สาเหตุของอุปสรรคนี้ เพราะข้อกังวลทางกฎหมายจริง ๆ หรือเป็นเพราะความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล หากวันนี้สมาชิกพรรคเพื่อไทยร่วมเป็นองค์ประชุมให้ก็สามารถประชุมต่อได้ และจะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ร่วมกันชี้แจงกับสังคม แล้วก็ชี้แจงกับสมาชิกรัฐสภาว่าเหตุที่ดำเนินการอยู่นั้น ไม่ขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ แต่ก็เข้าใจว่าเป็นสิทธิ์ของสมาชิกรัฐสภาที่อาจจะเสนอส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญได้ แต่ในมุมของพรรคประชาชน เพียงตั้งข้อสังเกต ว่าหากมีการส่งเรื่องไปจริง ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าฝ่ายที่ส่งไปนั้นจะได้คำตอบที่ตัวเองต้องการ แต่คิดว่าหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดว่าต้นเหตุและสาเหตุของการที่ไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรคภูมิใจไทยและ สว.กลุ่มนี้ ไม่ใช่เพราะสาเหตุเรื่องข้อกังวลทางกฎหมาย ไม่ใช่เพราะสาเหตุเรื่องความไม่ชัดเจนของคำวินิจฉัย เพราะว่า สส.พรรคภูมิใจไทยและ สว. ก็ไม่ได้มาลงมติเห็นชอบ ต่อการส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้น คิดว่าเป็นหลักฐานอันเป็นที่ประจักษ์ ว่าต้นตอและสาเหตุของการที่ไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรคภูมิใจไทยและสว.กลุ่มนี้ ไม่ใช่ข้อมูลกฎหมาย แต่คือความขัดแย้งกันทางการเมืองระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งปรากฏให้เห็นไม่ใช่แค่เรื่องรัฐธรรมนูญ เรื่องอื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายกลาโหม การนิรโทษกรรม เอนเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์ กัญชา ค่าแรง หรือแม้กระทั่งแนวทางในการแก้ไขปัญหาคอลล์เซ็นเตอร์ ดังนั้น ถ้าจะแก้ปัญหาด้วยความขัดแย้งทางการเมือง ทางออกไม่ใช่อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ แต่อยู่ที่นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหารและหัวหน้ารัฐบาลผสม ที่ต้องทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพในการแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลและผลักดัน นโยบายของรัฐบาล ให้สามารถประสบความสำเร็จได้ แต่ถ้านายกรัฐมนตรีไม่สามารถเป็นเจ้าภาพแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่าง ระหว่างพรรครัฐบาลได้ ไม่สามารถใช้อำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรี เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ จึงเห็นสอดคล้องกับข้อเสนอของผู้นำฝ่ายค้านฯ ว่า ควรยุบสภาและคืนอำนาจต่าง ๆ ให้กับประชาชน